#เภสัชจำกัดวงระบาด ทบทวนความรู้การป้องกันและควบคุมโรค เพื่อให้สื่อสารได้เข้าใจ ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม

     


หลักในการควบคุมการระบาด

1.การควบคุมแหล่งโรค (Controlling the source) เช่น

  • กำจัดแหล่งแพร่เชื้อ (remove source)
  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดหรือสัมผัสกับแหล่งแพร่เชื้อ (remove person from exposure)
  • การคัดแยกและรักษา (isolation and treatment)

2. การตัดการถ่ายทอดโรค (interrupting transmission) เช่น

  • ทำให้สิ่งแวดล้อมนั้นปราศจากเชื้อ (sterilize environment)
  • ควบคุมพาหะหรือการแพร่กระจาย (control vector)
  • เพิ่มสุขอนามัยส่วนบุคคล (improve personal sanitation)

3.การป้องกันกลุ่มเสี่ยง (Protecting susceptible group) เช่น

  • การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนหรือให้ยา (vaccine or prophylactic Rx)

——————–

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคระบาดนั้น ๆ

  • โรคนั้นมีสัญญาณและอาการแสดงเป็นอย่างไร
  • ระยะฟักตัว (incubation period) จนแสดงอาการนานเพียงใด
  • โรคนั้นแพร่ได้อย่างไร (transmission) ทางตรง หรือ ทางอ้อม
  • แหล่งแพร่เชื้ออยู่ที่ไหน (source) มีรังโรค (reservior) ไหม
  • source คือ แหล่งแพร่เชื้อที่เมื่อใกล้ชิดหรือสัมผัสก็ติดโรคได้ทันที
  • reservoir คือ เป็นแหล่งที่เชื้ออาศัยอยู่ เจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้
  • ปัจจัยเสี่ยงของบุคคลคืออะไร (risk factor) คืออะไร ? 

เมื่อเข้าใจธรรมชาติของการระบาดและโรคนั้น ๆ แล้ว จะทำให้เราสามารถคัดกรอง จำแนกและให้คำแนะนำได้เหมาะสมกับกลุ่มคนนั้น ๆ 

——————–

การแบ่งกลุ่มคนตามความเสี่ยง

นิยามของผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยยืนยัน (confirmed cases)
  • ผู้ป่วยเข้าข่าย (probable cases)
  • ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (Patients under investigated: PUI)
  • ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ (Asymptomatic infection)

นิยามของผู้สัมผัสใกล้ชิด (Closed contact)

  • ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง
  • ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ

——————–

การปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่ทราบหรือสงสัยว่าติดเชื้อ

Standard precautions วิธีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในผู้ป่วยทุกราย โดยคำนึงว่าทุกรายอาจจะมีเชื้อโรคที่ติดต่อได้ทางเลือดและสารคัดหลั่งทุกชนิด เช่น การล้างมือ การสวมเครื่องป้องกันร่างกาย (Personal Protective Equipment: PPE) การดูแลอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ของผู้ป่วย การควบคุมดูแลทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม การเสริมสร้างสุขนิสัยในการไอ (respiratory hygeine/cough etiquette)

มาตรการการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยที่ทราบหรือสงสัยว่าติดเชื้อ ตามลักษณะการแพร่กระจายของเชื้อ

1. Contact precautions: วิธีป้องกันเชื้อโรคที่ติดต่อโดยการสัมผัส ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น rotavirus แผลติดเชื้อ ตาแดงจากไวรัส SARS หิดและเหา การป้องกันทำได้โดยการสวมถุงมือและเสื้อคลุม เมื่อต้องสัมผัสร่างกาย สารคัดหลั่ง หรือสิ่งของผู้ป่วย ทำความสะอาดทำลายเชื้อบนวัสดุอุปกรณ์ก่อนนำมาใช้

2. Droplet precautions: การป้องกันเชื้อที่แพร่กระจายทางละอองเสมหะ การสัมผัสเยื่อบุ ตา ปาก จมูก การป้องกันที่สำคัญได้แก่ การสวมผ้าปิดปาก/จมูก ชนิด surgical mask เมื่อเข้าใกล้ผู้ป่วยในระยะ 3 ฟุต

3.Airborne precaution: เป็นวิธีการป้องกันเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมาก แพร่ตามลมและอากาศ เช่น TB, measles, SARS การป้องกันที่สำคัญ คือ การสวมผ้าปิดปาก/จมูกที่มีคุณสมบัติกรองเชื้อโรคได้ เมื่อต้องเข้าใกล้หรือเข้าไปในห้องผู้ป่วย เช่น N95

——————–

การควบคุมโรค

การทำให้การแพร่ระบาดของโรคหยุดลง ช้าลง หรือ อยู่ในเขตจำกัด (Disease containment)

ระดับบุคคล

  • แยกกักผู้มีอาการป่วย (isolation of symptomatic persons)
  • การกักกันผู้ติดเชื้อ (quarantine of exposed person)
  • การจัดการผู้สัมผัส (management of contacts)

ระดับกลุ่มคนหรือชุมชนที่อาจสัมผัสโรค

เช่น ผู้ที่อาจรับเชื้อจากบุคคลในครอบครัว กลุ่มคนที่มาชุมนุมกัน ผู้โดยสารบนขนส่งสาธารณะ ที่เรียนหรือที่ทำงาน สถานพยาบาล ที่มีผู้ติดเชื้อ

  • การแยกตัวอยู่กับบ้านโดยสมัครใจ
  • การปิดอาคารสถานที่ ห้างสรรพสินค้า ระงับการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ งดการแสดงหรือแข่งขันกีฬา ปิดสระว่ายน้ำหรือสถานที่ออกกำลัง
  • การจำกัดการเดินทาง รวมทั้งการห้ามเดินทางออกนอกพื้นที่ (Cordon sanitaire) เพื่อป้องกันคนจากเขตโรคระบาดเดินทางไปส่วนอื่นของประเทศ

การป้องกันเป็นกลุ่ม (mass prophylaxis) 

โดยให้ยาในกลุ่มเสี่ยง หรือ สร้างเสริมภูมิคุ้มกันเป็นกลุ่มรอบศูนย์กลางที่มีการระบาด (ring immunization)

การให้ความรู้ต่อชุมชน (public education) 

  • เน้นความสำคัญของการล้างมือ
  • ให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อและทำความสะอาด
  • สนับสนุนให้พักอยู่กับบ้านเมื่อมีอาการป่วย
  • สนับสนุนให้ระวังเมื่อต้องเข้าไปในที่ชุมนุมชน
  • เน้นความสำคัญของวิธีการป้องกันโรคที่ดี เช่น การจามใส่กระดาษ หรือ ข้อพับแขน การล้างมือเมื่อสัมผัสสิ่งปนเปื้อน
  • สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน กระจายข่าวสารให้ชุมชนรับรู้เป็นระยะ ลดความตื่นตระหนก

——————-

การกักกันตามระดับความเสี่ยง

การกักกัน (quarantine)

เป็นการจำกัดการเดินทางของผู้สัมผัสโรคจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีการป่วยเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเหมาะสม เพราะส่งผลต่อมนุษยธรรมและกระทบต่อเศรษฐกิจ

—————————–

การสื่อสารการระบาด (outbreak communication)

เมื่อมีความเข้าใจโรคระบาด การจำแนกความเสี่ยงของบุคคล และมาตรการสำหรับคนในแต่ละระดับความเสี่ยงเพื่อการควบคุมการระบาดแล้ว ทำให้เราสามารถส่งต่อผู้ป่วยได้ทันท่วงที สามารถเลือกข้อมูลที่จะสื่อสารได้เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบท

การสื่อสารการระบาดที่ดีจะทำให้เกิดการป้องกันโรคได้และลดความรุนแรงของโรคได้ เนื่องจากในช่วงต้นประชาชนบางกลุ่มอาจยังนิ่งเฉย หากได้รับการสื่อสารข้อมูลที่เหมาะสมก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและป้องกันโรค 

ในทางกลับกันหากมีประชาชนบางกลุ่มที่ตกใจและโกรธเคืองจากการสูญเสียและอาจกระจายข่าวที่บิดเบือนความจริง การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เหมาะสมก็จะทำให้เกิดประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรค ไม่เกิดการตื่นตระหนก มีหลักการ ดังนี้

1. Trust ความเชื่อใจ สื่อสารข้อมูลด้วยความรับผิดชอบ (accountability) มีส่วนร่วม เข้าถึงและเข้าใจ (involvement) และมีความโปร่งใส (transparent)

2. การแจ้งข่าวแต่เนิ่น ๆ (announcing early) การระบาดของโรคเป็นสิ่งที่ไม่ควรปกปิด เนื้อหาข่าวสารต้องถูกต้อง ถูกเวลา เปิดเผยตรงไปตรงมา (condour) และครอบคลุมเข้าใจได้ (comprehensiveness)

3.ความโปร่งใส (transparency) ได้แก่ การสื่อสารที่ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ครบถ้วน ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้ประชาชนเห็นข้อมูล สามารถประเมินความเสี่ยงได้เอง และร่วมตัดสินใจในการให้ความร่วมมือในการควบคุมโรค 

4.เข้าใจกลุ่มชน (the public) การสื่อสารที่ดีต้องเข้าใจความเชื่อ ความคิดเห็น และความรู้ของประชาชนต่อ โรค ภัย และความเสี่ยงต่าง ๆ ต้องเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไร จะทำให้สื่อสารได้เข้าใจและเข้าถึงมากขึ้น

5.มีการวางแผน (planning) การสื่อสารต้องควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยง ควรมีการวางแผนเตรียมการไว้สำหรับทุกแง่มุมของการควบคุมการระบาด

———————

ส่งท้าย

เภสัชกรอาจไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ด่านแรกที่ต้องรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเภสัชกรเป็นบุคลากรทางการแพทย์หนึ่งที่มีโอกาสร่วมในการกำหนดนโยบายรวมถึงได้พบปะพูดคุยกับคนไข้ 

เรากระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในโรงพยาบาล โรงงาน หรือใกล้ชิดกับชุมชน การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง สามารถคัดกรองและส่งต่อได้อย่างเหมาะสม จะช่วยสนับสนุนการควบคุมและป้องกันโรคได้ดีและมีประสิทธิภาพและเราจะผ่านวิกฤตโรคระบาดกันไปได้ไว

——————–

ข้อมูลสำหรับ Covid-19

  • นำไป Print แปะ นำไปแชร์
  • Infographic สำหรับการสื่อสารและให้ข้อมูลประชาชนเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 (คลิก)
  • นำไปใช้สื่อสารกับลูกค้า คนไข้ คนใกล้ตัว 
  • คำแนะนำสำหรับประชาชน นำไปใช้สื่อสารกับลูกค้าและคนไข้ อัปเดตตลอด โดยกรมควบคุมโรค (คลิก)

———————

เอกสารอ้างอิง:

1. สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม.) กรมควบคุมโรคติดต่อ. แนวทางการเฝ้าระวังและสอบสวนโรคไวรัสโคโรนา 19 _version 12 ก.พ. 2563. Retrieved Mar 11, 2020, from http://www.mtcouncil.org/site/content/attach/2825/G35%2012-5-2563.pdf

2. Siegel JD, Rhinehart E, Jackson M, Chiarello L, and the Healthcare Infection Control Practices Advisory Committee, 2007 Guideline for Isolation Precautions: Preventing Transmission of Infectious Agents in Healthcare Settings (last update July 2019). Retrieved Mar 11, 2020 , from https://www.cdc.gov/infectioncontrol/pdf/guidelines/isolation-guidelines-H.pdf

3. สำนักระบาด กระทรวงสาธารณสุข. มาตรฐานสำนักระบาด retrieved Mar 11, 2020, from http://www.boe.moph.go.th/files/report/20100902_54062092.pdf