IELTS แต่ละทักษะ เตรียมตัวอย่างไรบ้าง ?

     


IELTS 7.0 ต้องเตรียมตัวยังไง ฉบับเภสัชกรอยากเรียนต่อที่อังกฤษ (2/3)

ความเดิมตอนที่แล้วผมเล่าถึงภาพรวมของการสอบ IELTS และปัจจัยที่ส่งผลต่อคะแนนสอบ สามารถตามอ่านได้ที่ https://www.thaiypgrow.com/post/144 ในตอนนี้จะเล่าถึง การเตรียมตัวเพื่อสอบทั้ง 4 ทักษะครับ

IELTS แต่ละทักษะ เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ต่อไปนี้ผมจะเล่าเรื่องการเตรียมตัวของผมในแต่ละทักษะย่อยนะครับ อนึ่งผมเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งไม่มีผิดไม่มีถูกครับ หากผู้อ่านรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวคุณ ควรเลือกวิธีที่คุณถนัดมากกว่าเพราะตอนเราฝึกฝนมันจะง่ายและเหนื่อยน้อยกว่าครับ สิ่งที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้เกิดจากการที่ผมลงทะเบียนเรียนเอง ไม่ได้รับค่าโฆษณาแต่อย่างใดครับ (เสียตังค์เอง ลองเอง เจ็บเองครับ ฮา)

ทักษะการฟัง (Listening)

สำหรับ Listening ผมลองมาหลายแบบทั้งการทำข้อสอบออนไลน์ตามเว็บต่าง ๆ การทำแบบฝึกหัดจาก Cambridge English IELTS academic with answer ผมขอสรุปว่า ให้ฝึกจาก Cambridge English IELTS academic with answer ดีที่สุดครับ ผมทำข้อสอบ Listening ทั้งหมดใน Cambridge English IELTS academic with answer เล่ม 13 และ 14 พอทำแล้วข้อไหนผิดจะเปิดดูเฉลยและฟังไฟล์เสียงซ้ำเพื่อฟังการออกเสียงและอ่าน script ที่ Examiner พูดในเฉลยท้ายเล่ม อันนี้จากประสบการณ์การสอบสองครั้ง ศัพท์ที่เราฟังไม่ออกและยาก มักออกซ้ำแต่เปลี่ยนเนื้อเรื่องไป เช่น ผมฟังคำว่า pioneer ตอนฝึกไม่ออกเลยดูเฉลยและลองฟังซ้ำ ปรากฏว่าตอนสอบจริงเจอคำเดียวกันเลย อย่างที่บอกไว้อันนี้เป็นเรื่องของดวง อย่างไรก็ตามผมพบว่าการทำข้อสอบฟรีออนไลน์ของบาง website ยากเกินความเป็นจริง ผมเคยได้คะแนน Listening band 4.0 จากการทำบนเว็บ พร้อมกับการขายคอร์สพ่วงการพัฒนาทักษะ Listening นอยด์ไปหลายวันครับ 

——-

ทักษะการอ่าน (Reading)

Reading ในข้อสอบจริงนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 passages โดยแต่ละ passage จะมีคำถาม 13-14 ข้อ ซึ่งถ้าอ่านแบบละเอียดจะทำไมทันแน่นอนครับ เราจึงต้องฝึกทักษะ Skimming and scanning การหา Keyword ในข้อสอบเป็นเรื่องสำคัญ จึงแนะนำให้อ่านคำถามหา Keyword ก่อนอ่าน passage เสมอครับ

Tips: สำหรับทักษะการฟัง (Listening) และ การอ่าน (Reading) ถือเป็นทักษะที่ฝึกได้เองและใช้เวลาไม่มาก ผมว่านักเรียนไทยมักทำคะแนนสองทักษะนี้ได้ดีอยู่แล้ว ผมเรียนรู้ pattern การทำข้อสอบจาก website: https://www.e2language.com โดยใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจ pattern ของข้อสอบประมาณ 1 เดือน ตามระยะเวลาที่เว็บนี้ให้ใช้ฟรีครับ ☺

สำหรับสองทักษะที่เหลือ คือ การเขียน (Writing) และการพูด (speaking) นั้นเป็นสิ่งที่นักเรียนไทยกังวล อย่างน้อยก็ผมคนนึงครับ ผมพบว่าหากหาคนมาช่วย feedback และ comment ได้จะช่วยให้เรียนรู้เร็วขึ้นมาก ๆ

——–

ทักษะการเขียน (Writing)

การเขียนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ Task 1 ซึ่งให้อธิบาย graph, flow chart และแผนผังต่าง ๆ ต้องเขียนขั้นต่ำ 150 คำ ส่วน Task 2 นั้นเป็นการเขียน essay โดยกำหนดหัวข้อมาให้ ต้องเขียนขั้นต่ำ 250 คำ โดย Task 2 จะคิดเป็นน้ำหนักคะแนน 2 เท่าของ Task 1 การเขียนนั้นมันมี model และ pattern ในการเขียนอยู่ครับ ผมเคยลองคุยกับ Native speaker บางคนที่สอบโดยไม่ใช้ pattern ในการเขียน ได้ Band 7.0 ซึ่งในความเป็นจริง ความสามารถของเขาควรได้มากกว่านั้น

ดังนั้นคำแนะนำของผมคือ ลองอ่าน Model ในการเขียนมาก ๆ ถ้าเอาแบบมาตรฐานหาอ่านได้จาก เฉลยของ Cambridge English IELTS academic with answer นอกจากนั้นผมยังเข้าไปฝึกและหาข้อสอบมาลองทำจากเว็บนี้ครับ https://www.ielts-exam.net ในหัวข้อที่เราไม่ถนัดนั้นผมเคยลองอ่านโจทย์แล้วเขียนไม่ออกเลยก็มี เช่น เรื่องอาชญากรรม ดังนั้นเราจึงต้องเพิ่มคลังคำศัพท์และดู idea ในการเขียนไว้ ผมตั้งเป้าเขียน essay วันละหนึ่งเรื่อง เอาแบบทำไม่เยอะแต่ทำทุกวัน

เรื่องการเขียนนั้นถ้ามีคนช่วยตรวจนั้นจะดีมาก ๆ เพราะจะทำให้รู้ข้อผิดพลาดเพื่อเพิ่มคะแนน ผมเคยส่งตรวจกับบริการทางออนไลน์ เสียค่าตรวจ 1 ชุดทั้ง Task 1 และ 2 เป็นเงินเกือบหนึ่งพันบาทต่อครั้ง ส่งได้สองสามทีก็เสียดายเงิน สุดท้ายจึง Subscribe บริการตรวจ Grammar อย่าง Grammarly ถ้าถามว่าดีไหม ผมจะบอกว่ามันตรวจหาจุดผิดได้ประมาณนึงที่เรามักผิดบ่อย เช่น การลืมเติม article “a, an, the” เรื่อง Subject-verb agreement และ Grammar อื่น ๆ ผมถือว่าทำได้ดีเทียบกับราคาครับ

Tips: สำหรับการเขียนนั้น ควรแบ่งเวลาในการวางแผน 15% เพื่อป้องกันการเขียนวนและหาทางจบไม่ลง แบ่งเวลาให้การเขียน 65% และตรวจทาน 20% การตรวจทานนี้สำคัญมาก ๆ เราจะเจอจุดผิดที่ไม่น่าให้อภัยตอนตรวจทานเสมอ ซึ่งจะช่วยเพิ่มคะแนนได้เยอะเลย

——–

ทักษะการพูด (Speaking)

Speaking นั้นแบ่งออกเป็น 3 Tasks ครับ ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 15 นาที ตอนผมสอบนี่เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก

Task 1: คุยเรื่องทั่วๆไป แนะนำตัว บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไร

Task 2: Long turn คุณจะได้หัวข้อและต้องพูดยาวต่อเนื่อง 2 นาที ส่วนมากเป็นการถามความคิดเห็นหรือให้เล่าเรื่องจากประสบการณ์

Task 3:  จะเป็นคำถามต่อจาก Task 2 แต่จะถามแบบ abstract มากขึ้น เช่น คุณคิดว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

Speaking นั้นมี Model เหมือนกันครับ ผมฟังและฝึกจาก Youtube ช่องนี้ https://www.youtube.com/results?search_query=ielts+speaking+success 

และเปิดฟังภาษาอังกฤษเวลาขับรถกับกวาดบ้านจากช่องนี้ครับ https://www.youtube.com/results?search_query=english+with+lucy

เรื่อง speaking ผมลงทุน เพราะว่าถ้าเราไม่ฝึกพูดบ่อย ๆ มันพูดไม่ออกจริง ผมจึงหาครูออนไลน์มาฝึกด้วยทุกวันตอนเช้าก่อนเริ่มทำงานวันละ 1 ชั่วโมง ทำติดต่อกันประมาณ 1 เดือนครับ rate ราคาที่ผมได้นั้นเป็นแบบคนรู้จักเพราะติดต่อพี่ที่ทำงานเก่ามาช่วยสอนและแก้ภาษาอังกฤษที่พูดผิดให้ ผมพบ defect ในการพูดหลายอย่างซึ่งคิดว่าคนไทยหลายๆคนเป็นเหมือนกัน เช่น การไม่พูดเสียง “s” ตอนท้าย การออกเสียงไม่ชัดระหว่าง “sh” กับ “ch” ทำให้คนฟังแยกไม่ออกระหว่างคำว่า wash กับ watch เป็นต้น นอกจากนั้นผมยังฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ 44 เสียงจากคลิปนี้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=MXBsy6sKP3Y&t=2019s ฝึกแรก ๆ จะตลกตัวเองนิดนึงครับ แต่ทำบ่อย ๆ จะโอเคขึ้น

ในตอนถัดไปผมจะเล่าถึง การเลือกรูปแบบการสอบ (paper-based หรือ computer based) และ Agency ที่ให้บริการการสอบครับ